วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 27

คริสต์มาส
วันนี้คือวันคริสต์มาส คนฝรั่งเศส " ทุกคน " ต่างกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็ตาม แต่การฉลองกันภายในครอบครัวกลายเป็นประเพณีแห่งชาติไปแล้ว

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด เขาจะไปประกอบมิสซาที่โบสถ์ในคืนวันที่ 24 เพราะพระเยซูเจ้าเกิดตอนเที่ยงคืน คริสตศาสนิกชนจึงต้องไปโบสถ์ หรือไม่ก็เป็นวันที่ 25 ตอนเช้า เพื่อฉลองการเกิดของพระเยซูเจ้า

ส่วนในวันที่ 25 คนฝรั่งเศสทุกผู้ทุกคนต่าง " ต้อง " กลับไปทานข้าวกับครอบครัวตนเองในมื้อกลางวันหรือเย็น ไม่ว่าเขาจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็ต้องกลับบ้าน นั่นหมายความว่า วันคริสมาสต์เป็นวันรวมญาติ รวมสมาชิกทุกคนประจำปี ไม่มาไม่ได้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวหากขาดสมาชิกคนใดคนหนึ่งไป

พอทุกคนมาถึงบ้าน เขาจะรวมตัวกันหน้าเตาผิง เจ้าบ้านมักจะจัดต้นคริสต์มาสไว้ใกล้ๆ มีกล่องของขวัญมากมายวางอยู่ใต้ต้นคริสมาสต์ เขาเริ่มการแจกของขวัญโดยการให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัวเป็นคนหยิบของขวัญและยื่นให้ทุกคน หรือบางครอบครัวก็ให้ผู้ใหญ่เป็นคนแจก แต่ว่าจะต้องยื่นให้เด็กที่มีอายุน้อยที่สุดก่อน คือเป็นการแจกโดยเรียงตามอายุ

เมื่อแจกและแกะของขวัญกันเสร็จแล้ว เขาจะทำอาหารทานกันในบ้าน ไม่ค่อยนิยมไปที่ร้านอาหาร เพราะสมาชิกเยอะ ไปตามร้านก็จะแพง อีกทั้ง เขายังถือว่าทานที่บ้านได้บรรยากาศอบอุ่นกว่า ดังนั้น มื้ออาหารวันคริสมาสต์จึงคึกคักไปด้วยสมาชิกทุกเพศทุกวัย

ตามบ้านเรือนก็จะประดับบ้านและตกแต่งโต๊ะอาหารอย่างสวยงามอลังการเพราะเป็นเทศกาลสุดพิเศษ เริ่มต้นด้วยการยืนดื่มแชมเปญ จากนั้นก็เชิญแขกทั้งหมดนั่งประจำที่ และทานอาหารมื้อใหญ่ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้แก่ อาหารจานแรก อาหารจานหลัก สลัด เนยแข็ง ขนมหวาน และปิดท้ายด้วยชาหรือกาแฟ เราจึงจะลุกออกจากโต๊ะอาหารได้

หากเราฟังแค่ภาพรวม เราก็จะจินตนาการได้ถึงความอบอุ่น ความสนุกสนาน และความรื่นเริง ในบ้านนั้นมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กลิ่นอาหาร แสงไฟเหลืองนวลจากเทียน ไออุ่นจากเตาผิง มองไปทางไหนก็มีแต่สมาชิกในครอบครัวพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิต แต่ในทางกลับกัน เทศกาลคริสต์มาสในฝรั่งเศสไม่ได้มอบแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว วันคริสต์มาสถือเป็นช่วงเวลาแห่ง " ความเศร้า " สำหรับคนฝรั่งเศสที่ไม่มีครอบครัว

กล่าวคือ คนฝรั่งเศสสูงอายุที่โสด ไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งแล้วแต่อีกฝ่ายเสียชีวิตไปก่อน และ/หรือไม่มีลูก ตามปกติแล้วเขาสามารถดำเนินชีวิตคนเดียวได้ แต่พอถึงกลางเดือนธันวาคม เมื่อคริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว เขาเริ่มไม่มีความสุข เพราะเขารู้ว่าวันที่ 25 เขาจะต้องอยู่คนเดียว และมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่มีใครอยากอยู่ในบ้านหรืออพาร์ตเม้นเพียงลำพังในวันคริสต์มาส ในขณะที่บ้านข้างๆฉลองกันในครอบครัวอย่างมีความสุข ดังนั้น หากเขายังมีแรงเดินทางได้ เขาก็จะเลือกเดินทางออกนอกประเทศ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ฝรั่งเศส เพราะเขาไม่มีครอบครัว ดังนั้นเขาจึงต้องการหลีกหนีช่วงเวลานี้

ส่วนคนสูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชรา ตามสถานที่นั้นๆจะมีการจัดงานคริสต์มาสให้ และเชิญให้ญาติหรือลูกหลานของผู้สูงอายุมาร่วมด้วยได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกหลานมักไม่มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงค่อนข้างเงียบเหงา

บทความนี้สะท้อนสภาพสังคมฝรั่งเศสในช่วงคริสต์มาสได้ว่า ภายนอกอาจดูหรูหรา สวยงาม สนุกสนาน แต่อีกด้านหนึ่งนั้น กลับสร้างความทุกข์ ความเหงา และความเหว่ว้าให้แก่คนที่ไม่มีครอบครัวได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 26

บุหรี่ ยาสูบ
คนฝรั่งเศสสูบบุหรี่กันเยอะมาก จากสถิติล่าสุดเดือนพฤศจิกายนปี 2013 พบว่ามีผู้สูบบุหรี่มากถึง 14 ล้านคนต่อปี และค่าเฉลี่ยอายุของกลุ่มคนที่สูบบุหรี่มากที่สุด คือ อายุระหว่าง 18-34 ปี

บุหรี่ที่ขายในฝรั่งเศสมีราคาแพงกว่าบ้านเราหลายเท่า ยี่ห้อธรรมดาราคาประมาณ 300 บาท/ซอง หากเป็นผู้ใหญ่หรือคนทำงานที่มีรายได้มั่นคง เขาก็มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ่ายได้ แต่สำหรับนักเรียนหรือวัยรุ่น การซื้อบุหรี่ก็ค่อนข้างสร้างปัญหาทางการเงินแก่พวกเขาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีอื่นที่จะได้สูบบุหรี่เหมือนกันแต่ราคาย่อมเยาว์กว่า ทางออกนั้นคือ การซื้อ " ยาสูบ " มาห่อเองให้เป็นบุหรี่

อุปกรณ์ที่ใช้ในการห่อยาสูบมีทั้งหมด 3 อย่างดังในภาพที่ 1 ได้แก่ ห่อสีขาว-ดำคือแผ่นกระดาษไข ห่อสีขาว-เขียวคือใบยาสูบ และห่อสีฟ้า-ขาวคือก้านแข็งสีขาวใช้เป็นที่สูบ

ภาพที่ 2 คือวิธีการห่อ เรานำใบยาสูบวางเป็นแนวยาวบนกระดาษไข

ภาพที่ 3 คือ วิธีการที่ยากที่สุด เราต้องค่อยๆบิดยาสูบให้ม้วนเรียงตัวจนกลายเป็นแท่งบุหรี่ให้ได้ ใบยาสูบนั้นค่อนข้างลื่น ไม่ได้ห่อกันง่ายๆ ดังนั้นคนสูบจึงต้องใจเย็นๆ และใช้เวลานิดหนึ่งในการห่อ และห้ามลืมสอดก้านสีขาวที่ด้านท้ายด้วย เพราะเราต้องสูบจากด้านที่มีก้านนี้

เมื่อเราม้วนจนเป็นแท่งแล้ว เราก็ใช้เลียขอบกระดาษด้วยน้ำลายเพื่อให้มันเหนียวๆ จะได้พับลงมาได้ เป็นลักษณะเดียวกับการเลียปิดซองจดหมาย

ภาพที่ 4 คือ แท่งยาสูบที่เสร็จสมบูรณ์ เพียงจุดไฟที่ปลายแท่งก็สูบได้เลย

ราคาอุปกรณ์ทั้ง 3 อย่างรวมแล้วประมาณ 400 บาท แต่ใช้ได้นานกว่าบุหรี่สำเร็จรูปแบบซอง ดังนั้นเราจะเห็นเหล่าวัยรุ่นยืนม้วนยาสูบกันตามถนนหนทางเป็นเรื่องปกติ บางคนก็นั่งม้วนในห้องเรียน บางคนก็นั่งม้วนในรถไฟหรือรถเมล์ บางคนก็นั่งม้วนในร้านอาหารเพราะมันต้องใช้เวลาและความประณีต พอออกไปนอกอาคารแล้วจะได้ยืนสูบเลย

เนสขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตนเองที่เจอมา คือ ผู้หญิงไทยมักจะหน้ามัน เราจึงต้องใช้ " กระดาษซับมัน " อยู่ตลอด ครั้งหนึ่งเนสเข้าห้องน้ำ และหยิบกระดาษซับมันออกมาเพื่อจะซับหน้า เพื่อนฝรั่งก็มองอย่างสงสัยและถามว่า " เธอจะห่อยาสูบหรือ? " เนสจึงต้องอธิบายว่ามันคือกระดาษซับมัน ไม่ใช่กระดาษไขเพื่อห่อยาสูบ ผู้หญิงฝรั่งเขาหน้าไม่มันเหมือนเรา ในห้างหรือในซุปเปอร์จึงไม่มีกระดาษซับมันขาย เขาจึงไม่รู้จัก " กระดาษซับมัน "

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 25

เรื่องที่ไม่ควรพูดในฝรั่งเศส
คนฝรั่งเศสส่วนใหญ่ถือว่า 4 เรื่องดังต่อไปนี้ไม่ควรพูดในวงสนทนา เพราะอาจทำให้เสียบรรยากาศหรือเราอาจถูกมองว่าไม่สุภาพ ไม่รู้จักกาละเทศะ

เรื่องที่ 1 : เรื่องการเมือง เรื่องนี้คงคล้ายๆกับคนไทยที่ไม่ควรพูดหรือเถียงกันให้เป็นประเด็นรุนแรง คนฝรั่งเศสเองก็มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันเยอะ ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงประเด็นนี้

เรื่องที่ 2 : เรื่องศาสนา คนไทยอาจคิดว่าหมายถึงประเด็นการเปรียบเทียบระหว่าง " ศาสนา " ซึ่งไม่ควรพูด เช่น ศาสนา A ดีกว่าศาสนา B หรือ ศาสนา C ไม่ดี มีจุดบกพร่องมากมาย ควรหันมานับถือศาสนา D เป็นต้น

หากแต่ในสังคมฝรั่งเศสนั้น คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งแยกออกไปเป็นหลาย " นิกาย " เช่น คาทอลิก หรือโปรแตสแตนท์ ประเด็นนี้เองที่เราไม่ควรพูดว่า นิกายใดดีกว่านิกายใด หรือ เอาข้อเสียของนิกายต่างๆมาพูด เพราะเราไม่รู้เลยว่าคู่สนทนาอีกฝ่ายของเรานับถือศาสนาคริสต์นิกายใด ซึ่งอาจเกิดความขุ่นข้องหมองใจขึ้นได้

เรื่องที่ 3 : เรื่องเงินเดือน เรื่องนี้คนไทยก็ถือเหมือนกันว่าไม่ควรถามเงินเดือนคนอื่น เพราะดูเป็นการเสียมารยาท แต่สำหรับคนฝรั่งเศสนั้นอาการหนักกว่าเราอีก กล่าวคือ เขาถือว่าเรื่องเงินเดือนเป็นเรื่องส่วนบุคคลจริงๆ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่รู้รายได้ซึ่งกันและกัน ปัจจุบันนี้มีลูกมากมายที่ไม่รู้เงินเดือนของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ไม่บอก และลูกก็ถูกปลูกฝังมาว่าไม่ต้องถามประเด็นนี้

เรื่องที่ 4 : เรื่องการมีประจำเดือนของผู้หญิง เรื่องนี้น่าประหลาดใจมากที่สุด เราอาจเห็นว่าคนฝรั่งทั่วไปไม่ค่อยถือเรื่องเพศสักเท่าไหร่ แต่ประเด็นนี้ห้ามพูดทีเดียวเชียว เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมากถึงมากที่สุด เราไม่ควรพูดบอกใครแม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง เด็กสาวอาจตกใจและขอแม่อธิบายให้ฟังเมื่อมีประจำเดือนครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ควรพูดประเด็นนี้ขึ้นมาอีก

ในระยะที่ผู้หญิงมีรอบเดือน บางคนมีอาการหงุดหงิด สิวขึ้น ปวดท้อง หรืออ่อนเพลีย หากอยู่ในสังคมไทย เราก็สามารถบอกคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือคนรอบข้างได้ว่าเราไม่ค่อยปกติในช่วงนี้ เพราะเรามีประจำเดือน แต่ในสังคมฝรั่งเศสนั้น ผู้หญิงไม่ควรพูด ยิ่งลูกสาวยิ่งไม่ควรบอกพ่อว่าปวดท้องประจำเดือน ไม่ควรบอกเพื่อนในห้อง หรือเพื่อนที่ทำงาน เขาถือว่าเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อยากรู้ ไม่ต้องเล่า ไม่ต้องพูด

ดังนั้นหากสาวๆที่มีโอกาสได้อยู่ในสังคมฝรั่งเศส ก็ควรหลีกเลี่ยงประเด็นนี้นะคะ หากเราปวดท้อง หงุดหงิด หรือไม่ค่อยสบาย เราก็แค่บอกเขาว่า " เราไม่สบาย " แต่ไม่ควรอธิบายว่าเรามีรอบเดือนอยู่

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 24

เครดิตการ์ด
เมื่อคนไทยมาเที่ยวฝรั่งเศส มักจะงงนิดหน่อยเมื่อจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นที่ร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ต สถานที่ท่องเที่ยว หรือร้านอาหารทั่วไป เพราะระบบเครดิตการ์ดของเราต่างจากเขา

บัตรเครดิตการ์ดของคนฝรั่งเศสเรียกว่า " carte bleue " ซึ่งไม่ได้แปลว่า " การ์ดสีฟ้า " แต่อย่างใด เราจะต้องใส่รหัสเมื่อมีการรูดบัตรทุกครั้ง ดังนั้นพอเรายื่นการ์ดให้พนักงาน เมื่อสอดบัตรเข้าเครื่องแล้ว เขาจะหันเครื่องรูดบัตรมาทางเราและพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า " เชิญใส่รหัสครับ/ค่ะ " ซึ่งคนไทยก็จะงงว่าเขาพูดอะไรหรือหมายถึงรหัสอะไร

หากเราเจอกรณีที่พนักงานไม่คุ้นชินกับบัตรของคนเอเชียแบบนี้ เราต้องอธิบายแก่เขาว่า " บัตรเครดิตนี้ไม่มีรหัส แต่ต้องเซนต์ชื่อ " แล้วเขาก็จะเข้าใจ และยื่นใบสลิปมาให้เราเซ็นต

นอกจากนี้ ระบบการจ่ายเงินที่ร้านอาหารด้วยบัตรเครดิตก็แตกต่างจากเมืองไทย กล่าวคือ ที่ไทย พอเราสั่งเช็คบิล พนักงานจะนำบัตรเครดิตของเราไปรูดที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แล้วค่อยถือใบสลิปใส่ถาดมาให้เราเซ็นต์ที่โต๊ะ แต่ที่ฝรั่งเศสนั้น เมื่อเราต้องการจ่ายค่าอาหารด้วยบัตร พนักงานจะบอกว่าให้รอสักครู่ เพราะเขาต้องไปนำเครื่องรูดบัตรมารูดต่อหน้าเราที่โต๊ะ เพื่อให้เรากดใส่รหัสบัตร แต่เมื่อเราไม่ต้องใส่รหัสบัตร เขาก็จะวางสลิปบนพื้นโต๊ะเพื่อให้เราเซ็นต์แบบกันเองเลย ไม่มีแฟ้มรองอย่างเป็นทางการเหมือนที่ไทย เพราะมันไม่ใช่ระบบที่คนส่วนใหญ่จ่าย

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 23

ผ้าเช็ดปาก
คนฝรั่งเศสไม่นิยมใช้กระดาษทิชชู่เพื่อใช้เช็ดปากขณะรับประทานอาหาร เราจะไม่เห็นกระดาษทิชชู่ทั้งแบบม้วนและแบบกล่องวางบนโต๊ะตามร้านอาหารหรือบ้านเรือนคน 

โดยส่วนใหญ่ เขามักใช้ผ้าเช็ดปาก สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะมีห่วงไม้ลายการ์ตูนเป็นของตนเอง พอใช้ผ้าเช็ดปากเสร็จในแต่ละมื้อ เขาไม่ได้ซักเลย แต่เขาจะพับใส่ห่วงใครห่วงมันไว้ เพื่อว่ามื้ออาหารต่อไปจะได้หยิบถูกว่าผืนไหนเป็นของใครกันแน่ กว่าจะซักทีก็สัปดาห์ละครั้ง รอจนผ้าเลอะเทอะสกปรกจริงๆจึงจะเปลี่ยนผืนใหม่

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 22

ร้านตัดผม
ร้านตัดผมที่ฝรั่งเศสถือเป็นธุรกิจทำเงินที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าค่าครองชีพจะสูงหรือมีปัญหาคนว่างงาน แต่ธุรกิจร้านตัดผมยังคงสามารถดึงดูดลูกค้าได้ตลอด ในทางกลับกัน มีวัยรุ่นจำนวนมากที่สนใจเรียนทำผมและต้องการเปิดธุรกิจร้านตัดผมเป็นของตัวเอง ดังนั้นในฝรั่งเศสจึงมีร้านตัดผมเยอะมาก ไม่ว่าเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ เราจะเจอร้านตัดผมแทบทุกถนน 

จากสถิติพบว่าทั่วประเทศมีร้านตัดผมรวม 65,999 ร้าน โดยเฉลี่ยมีคนฝรั่งเศสเข้าร้านตัดผม 1,000 คนต่อวัน และข้อมูลนี้น่าสนใจมาก เพราะแสดงการเปรียบเทียบการให้บริการของแต่ละอาชีพต่อจำนวนประชากร กล่าวคือ ช่างทำผม 1 คน สามารถให้บริการลูกค้าได้ 1,000 คน แต่หมอ 1 คน ต้องดูแลคนไข้ถึง 5,000 คน

การเข้าร้านตัดผมส่วนใหญ่นั้นเราควรนัดล่วงหน้า หากจะเดินเข้าไปในร้านแล้วเจอจังหวะที่ช่างว่างอยู่แล้วคงเป็นไปได้ยาก เพราะผู้คนนิยมไปทำผมที่ร้านประจำของตัวเอง เขาไม่ค่อยลองเสี่ยงเข้าร้านที่ไม่รู้จักฝีมือช่าง ผู้หญิงฝรั่งเศสส่วนใหญ่สระผมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีเหงื่อ หรือไม่คันศีรษะ แต่เพราะเขามีความเชื่อว่า การสระผมบ่อยทำให้น้ำมันที่หล่อลื่นเส้นผมหลุดออกมาด้วย และไม่ดีต่อสุขภาพผม ทำให้เขาไม่นิยมสระผมบ่อย ดังนั้นเมื่อครบกำหนด เขาจึงไปสระ-ไดร์ที่ร้านประจำ เพื่อให้ผมอยู่ทรงได้ 1 สัปดาห์พอดี

ลักษณะการให้บริการของร้านทำผมที่นี่ เขาจะบริการแบบตัวต่อตัว คือ ช่างสระ ช่างตัด หรือช่างไดร์จะเป็นคนคนเดียวกัน ช่าง 1 คนต้องดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ พื้นร้านสะอาดมาก เพราะเมื่อลูกค้าคนแรกตัดผมเสร็จแล้ว เขาจะกวาดร้านก่อนรับลูกค้าคนถัดไป

นอกจากนี้ เขาค่อนข้างให้เวลาแก่ลูกค้า ก่อนอื่นเลยเขาจะลากเก้าอี้มานั่งถามความต้องการของลูกค้า ให้ลูกค้าอธิบายอย่างละเอียดว่าจะตัดทรงไหน หรือไดร์แบบไหน คือเหมือนกับว่าคุยกันให้เคลียร์ทั้ง 2 ฝ่ายก่อนลงมือสระ ซึ่งแตกต่างจากไทย เพราะร้านทำผมของไทยมักจะสระให้เสร็จก่อน จากนั้นช่างจึงเข้ามาถามเรื่องรายละเอียดของทรงผม หรือลักษณะการไดร์

เตียงสระผมของที่นี่เป็นแบบ " เก้าอี้ " คือเหมือนเรานั่งโซฟาตัวใหญ่ และแค่แหงนคอลงไปก็สระได้เลย บริเวณขอบพนักพิงมีแผ่นเหล็กสำหรับวางคอโดยเฉพาะ และแผ่นเหล็กนี้สามารถปรับเลื่อนได้ตามขนาดคอ หรือตามความสูงของลูกค้า ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดผมวางที่ไหล่เหมือนที่ไทย เพราะน้ำไม่มีทางซึมไหลลงจากแผ่นเหล็ก และมาเปื้อนเสื้อลูกค้าอย่างแน่นอน

ค่าบริการของร้านทั่วประเทศจะใกล้เคียงกัน คือ
1. ราคามาตรฐานสำหรับการสระ-ซอยผมผู้หญิง อยู่ที่ 30-35 ยูโร ( 1,200-1,500 บาท )
2. ราคามาตรฐานสำหรับการสระ-ซอยผมผู้ชาย อยู่ที่ 20-25 ยูโร ( 800-1,000 บาท )
3. ราคามาตรฐานสำหรับการสระ-ไดร์ผมผู้หญิง อยู่ที่ 20 ยูโร ( 800 บาท )
4. ราคามาตรฐานสำหรับการถักเปียหรือเกล้าผมผู้หญิง อยู่ที่ 10 ยูโร ( 400 บาท )
5. ราคามาตรฐานสำหรับการทำผมเจ้าสาว ( ไปโบสถ์ + งานเลี้ยง ) เหมาจ่ายอยู่ที่ 105 ยูโร ( 4,200 บาท )

ทั้งนี้ หากร้านตั้งอยู่ตามห้างหรือย่านการค้าในเมืองใหญ่ ราคาก็จะแพงขึ้นตามลำดับ

ถึงแม้ว่าระบบของร้านทำผมที่ฝรั่งเศสและที่ไทยจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ " ร้านทำผมเป็นแหล่งรวมของขาเม้าท์ " ไม่ว่าจะเป็นคุณยายหิ้วตะกร้าจ่ายตลาด คุณแม่ลูกสอง หรือคุณผู้ชายหนวดเฟิ้มเจ้าของร้านยาสูบข้างๆ ต่างก็เปิดประตูเข้ามาทักทายพูดคุยกับช่างทำผมอย่างไม่ขาดสาย บางคนแค่แวะเวียนมากล่าวสวัสดี หรือบางคนก็นั่งแหมะชวนช่างคุยอย่างเอาจริงเอาจัง

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 21

การเข้า"ผับ"และ"บาร์"
เมื่อคนฝรั่งเศสนัดกันว่าคืนนี้จะออกไปเที่ยว โดยทั่วไปเขามักรวมพลเพื่อกินอาหารเย็นกันก่อน เรียกว่า un before ( เอิง บีฟอ ) อาหารเย็นที่ว่านี้ เขาจะทำกินเองง่ายๆที่บ้านคนใดคนหนึ่ง หรือ ซื้อพวกพิซซ่าแช่แข็งมาอุ่นกิน จากนั้นค่อยออกเดินจากบ้านประมาณ 21.30 เพื่อไปยัง " บาร์ "

ที่บาร์นั้น บางแห่งมีชั้นเดียว บางแห่งมีสองชั้น แต่ทุกแห่งเป็นระบบ self service เหมือนกันหมด แบบเดียวกับที่เราเข้าตามร้าน fast food คือ เราต้องต่อแถวเพื่อซื้อเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า แล้วค่อยเดินเข้าไปเลือกโต๊ะนั่งตามอัธยาศัย ไม่มีการที่พนักงานเสิร์ฟเดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะเรา

เครื่องดื่มที่คนฝรั่งเศสนิยมสั่งตามบาร์ คือ เบียร์ ได้แก่
1. เบียร์สดแบบธรรมดาที่กดออกจากเครื่อง คุณภาพไม่ค่อยดีนัก ราคาประมาณ 3 ยูโร เขาจะเสิร์ฟในแก้วพลาสติก
2. เบียร์ Desperados มีผสมของแอลกอฮอล์จากประเทศแม๊กซิโกชื่อ tequila ตามปกติแล้ว หากเราดื่ม tequila เพียวๆ เราจะต้องอมเนื้อมะนาวสดไว้ในปาก แล้วค่อยดื่ม tequila พร้อมมะนาว จากนั้นให้ทาเกลือที่มือ และเลียกินเกลือตามเข้าไป ทำให้เมื่อเราสั่งเบียร์ Desperados ที่บาร์ เขาจะฝานมะนาวสดชิ้นเล็กๆวางไว้บนปากขวด เราก็ดันมะนาวนั้นลงในขวดแล้วค่อยดื่ม
3. Monaco เป็นเครื่องดื่มที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะสั่ง มีส่วนผสมของน้ำมะนาว น้ำทับทิม และเบียร์ ทำให้สีของน้ำออกเป็นสีชมพู

หากท่านไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ท่านก็สามารถสั่งน้ำอัดลมแทนได้ แต่ตามบาร์ทั่วไป จะไม่ค่อยขายน้ำผลไม้คั้นสด นอกจากนี้ จะไม่มีการขายอาหารใดๆทั้งสิ้น คนฝรั่งเศสไม่มีการกินกับแกล้มคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เขาดื่มแค่เครื่องดื่มล้วนๆ ซึ่งเขาก็รู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ ความจริงควรจะกินของกินเล่นไปด้วยเพื่อละลายความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของบาร์ เขาจึงได้แต่นั่งดื่มและพูดคุยกัน

บรรยากาศใน " บาร์ " นั้นค่อนข้างสงบ ต่างคนต่างนั่งคุยกันเป็นกลุ่มที่โต๊ะของตัวเอง ถึงแม้ว่าเสียงเพลงจะดัง แต่ก็ไม่ได้ดังมากจนเป็นอุปสรรคในการพูดคุย และลูกค้าก็สามารถเลื่อนโต๊ะ ยกเก้าอี้ เพื่อเคลียร์บางมุมของร้านให้โล่งเพื่อใช้เป็นลานเต้นได้ตามสะดวก

เวลาเปิดของ " บาร์ " คือ ประมาณ 19.30 เป็นต้นไป คนส่วนใหญ่จะทยอยเข้าบาร์หลัง 22.00 กฎหมายระบุให้บาร์ทุกแห่งปิดเวลา 02.00 หากคนฝรั่งเศสยังอยากสนุกกันต่อ เขาก็ย้ายไป " ผับ "

ระบบการเข้า " ผับ " ของฝรั่งเศสมี 2 แบบ คือ แบบแรก เราต้องเสียค่าเข้า 10-15 ยูโร และส่วนมากค่าเข้าของผู้ชายจะแพงกว่าผู้หญิง พอเราเสียค่าเข้าแล้ว เราจะสั่งเครื่องดื่มข้างในหรือไม่สั่งก็ได้ เพราะราคาเครื่องดื่มในผับจะแพงกว่าในบาร์มาก ดังนั้นวัยรุ่นฝรั่งเศสส่วนหนึ่งจะใช้วิธีว่า ยอมเสียแค่ค่าเข้า แต่พอเข้าไปแล้วก็ขอน้ำเปล่าเป็นเหยือกกินฟรี หากทางร้านไม่ให้ เขาก็เข้าไปกินน้ำจากก๊อกในห้องน้ำแทน เพราะน้ำประปาที่ฝรั่งเศสกินได้ ปลอดภัย

แบบที่สอง คือ ผับที่ไม่คิดค่าเข้า แต่ตอนเราเดินผ่านประตูเข้าไป พนักงานจะแจกคูปอง 1 ใบ/คน เราจะต้องถูกบังคับให้ซื้อเครื่องดื่มด้านใน เพื่อแลกกับการที่พนักงานจะปั๊มตัวแสตมป์บนคูปองนั้นให้เรา เราถึงจะมีสิทธิ์ออกจากผับได้ ถ้าเราไม่มีตัวแสตมป์บนคูปอง พนักงานตรวจที่ประตูขาออกจะไม่อนุญาตให้เราออก

บรรยากาศใน " ผับ " จะต่างจากบาร์ เพราะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งน้อยมาก ส่วนใหญ่ทุกคนต้องยืนเต้นกัน คนแน่นตลอด เบียดเสียดกัน และเสียงเพลงจะดังกว่าที่บาร์มากๆ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ ไม่มีกับแกล้มหรืออาหารใดๆขาย

เวลาเปิดของ " ผับ " คือ ประมาณ 23.30 เป็นต้นไป และกฎหมายระบุให้ผับปิดเวลา 06.00 ดังนั้นเมื่อคนฝรั่งเศสออกจากผับเพื่อกลับบ้านตอนรุ่งสาง เขามักจะถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติว่า ต้องแวะซื้อครัวซองร้อนๆที่ร้านขายขนมปังเพื่อเอากลับไปกินเป็นอาหารเช้าที่บ้าน แล้วค่อยเข้านอน

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 20

หิมะแรกของปี
ภาพที่ท่านเห็นคือ ภาพจากเมือง Annecy ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมืองนี้ตั้งอยู่แถบเทือกเขาแอลป์ ผู้คนจะมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาเล่นสกี

หิมะนี้ถือเป็นหิมะแรกของปี นั่นหมายความว่า ฤดูหนาวกำลังมาเยือนแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 19

การแต่งกายไปปาร์ตี้
คนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่นิยมใส่ " เสื้อผ้าสีดำ " ไปงานปาร์ตี้ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด งานแต่งงาน หรืองานฉลองตามโอกาสต่างๆทั่วไป 

เขาไม่ได้ถือว่า " สีดำ " ไม่เหมาะกับงานมงคล ในทางกลับกัน เขามีรสนิยมว่า " ยิ่งดำยิ่งหรู " ดังนั้น ในงานปาร์ตี้วันเกิดนี้ จึงมีแต่แขกเหรื่อใส่เสื้อผ้าสีดำ

จากภาพ ท่านอาจสงสัยว่า ผู้หญิงคนที่ใส่ชุดเดรสแขนกุดไม่หนาวหรือ? คำตอบคือ นี่เป็นเทคนิคของชาวฝรั่งเศส เขาสั่งสอนกันมารุ่นต่อรุ่นว่า เมื่ออยู่ภายในอาคาร เราต้องถอดเสื้อแจคเก็ตหรือเสื้อโค้ทออก ไม่ว่าจะหนาวก็ต้องทนหน่อย เพราะถ้าเราใส่เสื้อหนาวหนาๆไว้ตลอดเวลา พอออกไปข้างนอกจะหนาวยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้น ตามบ้านเรือนหรือร้านอาหารจึงติดราวแขวนเสื้อโค้ทไว้ที่หน้าประตู เพื่อให้คนถอดเสื้อหนาวออกและแขวนไว้

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 18

แฟชั่นกระเป๋าในวัยรุ่น
ประเทศฝรั่งเศสขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของกระเป๋าแบรนด์เนม ใครมาเที่ยวฝรั่งเศสก็ต้องหนีไม่พ้นการซื้อกระเป๋าสะพายสวยๆ เพื่อเอากลับไปใช้ที่เมืองไทย 

ราคากระเป๋าแบรนด์เนมแต่ละยี่ห้อก็แตกต่างกันไปตามกำลังซื้อของแต่ละคน แต่ที่แน่ๆคือ เมื่อเราซื้อแล้ว เรามีสิทธิ์ทำ Tax refund ซึ่งนั่นหมายความว่า ราคาโดยทั่วไปก็จะถูกกว่าที่เมืองไทย

กระเป๋ายี่ห้อดังที่วางขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำและคนไทยนิยมซื้อ ได้แก่ Longchamp, Louis Vitton, Dior, Prada, Burberry, Balenciaga, ... เราจะสังเกตเห็นว่า ลูกค้าที่ต่อแถวหน้าร้านหรูทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเอเชียทั้งนั้นเลย

แต่ความเป็นจริงแล้ว คนฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าของดินแดนแห่งกระเป๋าแบรนด์เนมนั้น เขาใช้กระเป๋ายี่ห้ออะไรกัน? วันนี้ท่านจะได้รับคำตอบค่ะ

หากท่านจินตนาการว่า ผู้คนตามถนนหนทางนิยมสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมอย่างดาษดื่นเหมือนคนไทย ขอให้ท่านเปลี่ยนทัศนคติ เพราะในชีวิตจริงแล้ว วัยรุ่นฝรั่งเศสหรือคนทำงานทั่วไปมักใช้กระเป๋าเป้ยี่ห้อ " Eastpak "

กระเป๋ายี่ห้อนี้เปรียบได้ว่าเป็น " กระเป๋าแห่งชาติ " เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คนสะพายกระเป๋านี้ เด็กนักเรียนและวัยรุ่นทั้งหลายต่างฮิตกระเป๋า Eastpak ไม่ต่างจากที่คนไทยฮิตกระเป๋า Longchamp

หากเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะใช้กระเป๋า Eastpak เวลาเดินทาง หรือไปค้างต่างเมืองช่วงสั้นๆ

กระเป๋าผ้า Eastpak มีข้อดีคือ ทนทานมาก ใช้วัสดุคุณภาพดี และทางบริษัทรับประกัน 30 ปี มีให้เลือกทั้งหมด 41 สี กระเป๋าเป้รุ่นธรรมดาตามภาพนี้ ก็ราคาประมาณ 2,500 บาท

ส่วนมากแล้ว คนฝรั่งเศส 1 คนหรือ 1 ครอบครัว อย่างน้อยต้องมีกระเป๋า Eastpak 1 ใบในชีวิต

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 17

การจับมีด
คนฝรั่งเศสมีวิธีการจับมีดเพื่อปอกเปลือกผักหรือผลไม้ต่างจากคนไทย 

จากภาพ เราสังเกตเห็นว่า เขาหันคมมีดเข้าหาตัว และใช้นิ้วโป้งช่วยประคองเปลือก เพื่อไม่ให้คมมีดโดนนิ้วมือ

แต่คนไทยจะหันคมมีดออกจากตั


วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 16

ลายมือคนฝรั่งเศส
คอลัมน์ที่ 1 เราจะสังเกตเห็นว่าถึงแม้คนฝรั่งเศสจะเขียนลายมือเป็นตัวเขียน แต่มันก็ไม่เหมือนกับตัวเขียนของคนไทย เช่น ตัว f, h, q

คอลัมน์ที่ 2 เป็นการเขียนตัวเลข คนฝรั่งเศสมักเขียนเลข 1 ให้มีหัวยาว ต่างจากคนไทยที่เขียนเลข 1 หัวสั้น และเลข 4 ของเขาก็เป็นแบบเปิดหัว ไม่ลากมุมด้านบนให้ชิดกัน

คอลัมน์ที่ 3 น่าสนใจมากสุด เพราะเป็นการเขียนตัวย่อ เวลาที่คนฝรั่งเศสจดเลคเชอร์ในชั้นเรียน ต้องรีบเขียนให้เร็ว บางคำศัพท์ ก็ยาวเกินไป เขาไม่สามารถสะกดให้ครบคำได้ เขาจึงมีตัวย่อต่างๆ ดังที่ท่านเห็นในภาพ

ส่วนคอลัมน์ที่ 4 เป็นลายมือเต็มเวลาที่เขาเขียนรวมเป็นคำ เขาจะเขียนตัวอักษรลักษณะแบนๆ และแต่ละตัวจะชิดกัน


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 15

อาหารการกินในงานเลี้ยงที่บ้าน
อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่าคนฝรั่งเศสกินข้าวดึก และใช้เวลาบนโต๊ะอาหารหรือกับมื้ออาหารนานมาก เพราะเขาไม่ได้กินรวดเดียวจบอย่างคนไทย เขาต้องมีขั้นตอนการกินอาหารหลายจาน ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการบางครั้งใช้เวลานานถึง 5-6 ชั่วโมง

ประมาณ 1 ทุ่มเป็นต้นไป หรือบางบ้านก็เริ่ม 2 ทุ่ม เมื่อแขกเหรื่อทยอยกันมาถึงแล้ว เจ้าบ้านจะบริการ l'appéritif ( ลัปเปคริตีฟ ) แปลว่า อาหารเรียกน้ำย่อย เพื่อให้กินฆ่าเวลาไปก่อน ตามปกติแล้ว เครื่องดื่มที่เสิร์ฟมักเป็นเบียร์ แชมเปญ โค้ก หรือน้ำส้ม ส่วนอาหารนั้นเป็นพวกมันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ แตงกวาสดหั่นเป็นชิ้นยาวๆ มะเขือเทศจิ๋ว ขนมปังทาทูน่า และแคร๊กเกอร์รสเค็ม ( ภาพที่ 1 )

ประมาณ 3 ทุ่ม เจ้าบ้านจะคอยสังเกตว่าหากอาหารเริ่มหมดจานแล้ว ก็แปลว่าสามารถเสิร์ฟอาหารจานหลักต่อไปได้ ในงานเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ อาหารจานหลักจะไม่ใช่อาหารที่ต้องปรุงสุก แต่มักเป็นพวกอาหารแช่เย็นที่ตักรับประทานได้ง่าย เช่น สลัดพาสต้าใส่ปูอัดและมะเขือเทศ สลัดข้าวใส่ข้าวโพดและทูน่า ตับห่านบด ตับหมูบด แฮมนานาชนิด และที่ขาดไม่ได้ คือ ไส้กรอกแห้งหั่นเป็นแว่นๆ ส่วนเครื่องดื่มคือ ไวน์แดง ( ภาพที่ 2 )

ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง เมื่อแขกเริ่มอิ่มกับอาหารคาวแล้ว เจ้าบ้านจะทยอยเคลียร์โต๊ะ เพื่อวางเนยแข็งให้กินคู่กับขนมปังหลังอาหาร

หลังจากนั้นประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ก็ถึงคราวของหวาน ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิดหรืองานเลี้ยงทั่วไป คนฝรั่งเศสไม่นิยมซื้อเค้กตามร้านมาเป่า เขาชอบทำเค้กโฮมเมดเอง นี่คือเสน่ห์ของการกินเลี้ยงที่บ้าน เพราะเจ้าบ้านมีความสุขที่จะได้โชว์ฝีมือการทำอาหารอวดแขก เขาไม่ได้มีความคิดว่า ต้องซื้อเค้กก้อนใหญ่ๆหรือแพงๆจากร้านเบเกอรี่ แต่เขาคิดว่า ควรทำเค้กที่มีความหมาย เพื่อคนกินจะได้ประทับใจกับเค้กฝีมือเจ้าบ้านมากกว่า

เนื่องจากงานเลี้ยงนี้ เป็นงานวันเกิดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจัดขึ้นเพื่อเซอร์ไพรส์แฟนสาว และเขามักจะเรียกแฟนเล่นๆว่า " กีวี่ " เขาจึงทำเต้าฮวยรูปหัวใจรสถั่วพิสทาชิโอ แล้วหั่นกีวี่วางประดับรอบๆ สร้างความประทับใจให้แก่แฟนสาวและแขกที่มาร่วมงาน

ภายในงานเลี้ยง คนฝรั่งเศสไม่ได้ดื่มเหล้าผสมโซดาใส่น้ำแข็ง เขาดื่มแค่เบียร์ในช่วงอาหารเรียกน้ำย่อย นอกนั้นแล้วเขาดื่มไวน์ตลอดงาน

งานเลี้ยงที่บ้านส่วนใหญ่เลิกอย่างเร็วประมาณ ตี 1 หรืออย่างช้าก็ ตี 2

แต่หากเป็นงานแต่งงานนั้น เลิกดึกยิ่งกว่านี้ คือ เลิก ตี 3 แขกเหรื่อจึงจะทยอยกลับได้

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 14

การจัดปาร์ตี้ที่บ้าน
คนฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็น " ตัวแม่แห่งการจัดปาร์ตี้ที่บ้าน "

เมื่อเขาต้องการจัดงานเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด งานแต่งงาน งานฉลองเรียนจบ ฯลฯ เขามักจะเชิญญาติหรือเพื่อนฝูงมาสังสรรค์กันที่บ้าน เขาไม่ชอบการไปนั่งกินเป็นโต๊ะใหญ่ที่ร้านอาหาร เพราะมันไม่ได้บรรยากาศของความอบอุ่นและความเป็นกันเอง

เขาไม่ได้คิดว่า การฉลองอย่างสมเกียรติหรืออย่างหรูหราจะต้องจัดขึ้นที่ร้านอาหาร แต่ในทางกลับกัน เจ้าบ้านมีความสุขที่จะได้ทำอาหาร ได้จัดโต๊ะอาหาร ได้บริการ และได้รับรองแขกเหรื่อที่บ้าน เขาไม่ได้คิดว่าบ้านคือสถานที่ส่วนตัว หรืออายที่จะโชว์บ้านให้คนอื่นดู เขาจะดีใจมากที่มีคนชอบมาบ้านเขา และหากงานเลี้ยงเลิกดึกก็เชิญให้แขกเหรื่อนอนค้างที่บ้านไปเลย

คำว่า " งานเลี้ยง " นั้น เมื่อจัดขึ้นที่บ้าน มักจะมีคนมาร่วมงานอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 คน จากประสบการณ์ของเนส เคยเจอแขกมาบ้านมากสุดประมาณ 40 คน หากเป็นคนไทยจะคิดว่า คนเยอะขนาดนี้ ไปจัดที่ร้านอาหารเถอะ สะดวกกว่า ไม่ต้องมาเก็บล้างทำความสะอาดด้วย แต่คนฝรั่งเศสเขาชอบแนวนี้ ถึงแม้ว่าบ้านจะเล็ก อัดกันอยู่ในบ้าน เปิดประตูออกไปที่สวนไม่ได้เพราะอากาศหนาว แต่เขาก็สู้ตาย เขาไม่มีแม่บ้านช่วยทำอาหารหรือคอยเก็บกวาดหลังงานเลิกด้วยซ้ำ เขาทำกันเองทุกอย่าง ถึงแม้จะเหนื่อย แต่เขามีความสุขที่คนให้เกียรติมาบ้านเขา

คนฝรั่งเศสชอบจัดอะไรที่น่ารักๆ หรือมักสรรหากิจกรรมสนุกๆ มาเล่นเวลามีงานเลี้ยง เพื่อแสดงออกว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อ " เธอ " นะ

ในภาพนี้ คือส่วนหนึ่งของการจัดงานวันเกิดที่บ้าน ซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งจัดขึ้นเพื่อเซอร์ไพรส์แฟนสาวของเขา เขามักจะเรียกแฟนเล่นๆว่า " กีวี่ " ดังนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติว่า " เธอ " คือคนสำคัญของงาน เขาจึงหารูปกีวี่ในแบบต่างๆ แล้วนำไปล้างที่ร้านอัดรูป จากนั้นก็นำมาเรียงไว้ที่โต๊ะหน้าประตูบ้าน เพื่อให้แขกแต่ละคนทยอยเขียนข้อความสุขสันต์วันเกิดที่ด้านหลังของภาพ และนำภาพนั้นไปติดที่บอร์ด

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 13

สถานีรถไฟในเย็นวันศุกร์
ภาพที่ท่านเห็นคือภาพจากสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เราจะเห็นภาพแบบนี้ได้เฉพาะเย็นวันศุกร์ และกลางคืนวันอาทิตย์เท่านั้น

นี่ไม่ใช่การประท้วงที่มีทหารถือปืนเดินไปมา แต่คือการรักษาความสงบและความปลอดภัยตามปกติในช่วงเย็นวันศุกร์ และกลางคืนวันอาทิตย์

เนื่องจากคนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนหรือคนทำงาน มักจะย้ายไปเรียนหรือไปทำงานที่เมืองอื่นในช่วงวันธรรมดา ไปเช่าอพาร์ทเม้นอยู่กัน ดังนั้น พอถึงตอนเย็นวันศุกร์ พวกเขาก็จะนั่งรถไฟกลับบ้าน การคมนาคมในฝรั่งเศสจะเน้นรถไฟเป็นหลัก ไม่มีรถทัวร์หรือรถตู้รับ-ส่งระหว่างเมืองเหมือนบ้านเรา

ที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่ทั่วประเทศจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่ละมีคนสัมภาระเป็นเป้หรือกระเป๋าลาก เราอาจสงสัยว่า แค่กลับบ้าน 2 วัน ใช้กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ? คำตอบ คือ เขาจะขนเสื้อผ้าที่ใช้แล้วตลอดสัปดาห์ เอากลับไปซักที่บ้าน ทำให้แต่ละคนต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรังกันทีเดียว

ส่วนกลางคืนวันอาทิตย์นั้น เรียกได้ว่า " ยิ่งดึกยิ่งคึก " เพราะคนจะกลับมาทำงานหรือมาเรียนในนาทีสุดท้าย คือ เลือกรอบรถไฟให้ดึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ได้อยู่บ้านให้นานที่สุด เพราะฉะนั้น หากท่านกำลังวางแผนเที่ยวโดยรถไฟ ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่า ที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่ช่วงดึกวันอาทิตย์จะเปลี่ยว ท่านมีเพื่อนร่วมทางเยอะเลยค่ะ