วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 32

วิธีการเลือกไวน์ขั้นพื้นฐาน
หากท่านชอบดื่มไวน์ แต่อ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก จึงไม่รู้ว่าต้องเลือกขวดแบบไหน บทความนี้จะช่วยท่านได้

ภาพที่ท่านเห็นนี้ คือไวน์คุณภาพดีจากเมือง Minervois ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

ไวน์นี้ได้รับการบรรจุลงขวดในปี 2011 ความโดดเด่นของไวน์ขวดนี้มี 2 ประการ คือ ประการแรก ที่ฉลากหน้าขวดมีเขียนคำว่า " Élévé en fûts de chêne " ( เอเลอเว่ ออง ฟู เดอ แชน ) ตัวสีแดงบรรทัดล่างสุด แปลว่า " ถูกหมักในถังไม้เกาลัด " ปัจจุบันนี้ผู้ผลิตไวน์บางส่วนนิยมหมักไวน์ในถังเหล็ก ซึ่งรสชาติไวน์จะไม่อร่อยเท่าหมักจากถังไม้เกาลัด ด้วยเหตุนี้เอง ไวน์ขวดนี้จึงมีจุดเด่นที่ชัดเจน

ประการที่สอง เราจะสังเกตเห็นป้ายสติ๊กเกอร์วงกลมสีทองด้านบนขวา ป้ายนี้เขียนโฆษณาด้านบนไว้ว่า " concours mondial Bruxelles " ( กองกูค์ มงดิอาล บรุคแซล ) แปลว่า การแข่งขันระดับโลกที่เมืองบรัสเซล ส่วนด้านล่างเขียนว่า " médaille d'or 2012 " ( เมได ดอค์ 2012 ) แปลว่า รางวัลเหรียญทองปี 2012 สรุปแล้วคือ ไวน์ขวดนี้ถูกส่งเข้าประกวดระดับโลกที่เมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม และได้รับรางวัลเหรียญทองในปี 2012

ผู้บริโภคเห็นเพียงเท่านี้ก็ยินดีจ่ายเงินซื้อแล้ว

ดังนั้น หากท่านมาเที่ยวฝรั่งเศส และอยากซื้อไวน์คุณภาพดีกลับไป ก็ให้เลือกฉลากที่เขียนคำเหล่านี้นะ

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 31

อาหารคาวแต่ใส่ผลไม้
คนฝรั่งเศสบางส่วนโดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศชื่นชอบอาหารคาวที่ใส่ผลไม้ลงไปด้วย 

ตามบ้านเรือนทั่วไป เขาจะนำไส้กรอกมาผัดกับแอปเปิ้ล โดยธรรมชาติเมื่อเราทอดไส้กรอก มันจะมีน้ำมันจากหมูไหลออกมาอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งทำให้เลี่ยน คนฝรั่งเศสจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการปอกแอปเปิ้ลแล้วหั่นเป็นชิ้นๆผัดลงไปพร้อมไส้กรอกด้วย เมื่อแอปเปิ้ลโดนความร้อน มันจะมีน้ำเชื่อมรสหวานอมเปรี้ยวไหลออกมา ทำให้เมื่อทานไส้กรอกคู่กับแอปเปิ้ลแล้ว รสชาติเข้ากันได้ดีมาก

หากเป็นที่ร้านอาหาร เมนูอาหารคาวใส่ผลไม้ก็จะถูกพัฒนาให้หรูหรายิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น อาหารในภาพนี้ คือ เป็ดอบราดซอสลูกฟิกและองุ่น พ่อครัวนำเป็ดไปอบให้สุกก่อน จากนั้นค่อยนำไปย่างเพื่อให้หนังกรอบ ส่วนซอสนั้น ทำมาจากลูกฟิกสด องุ่นเขียว และใส่ไวน์แดงนิดหน่อย เพื่อให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมื่อทานคู่กับมันฝรั่งนึ่งที่มีรสเค็มๆแล้ว อร่อยจนแทบจะไม่อยากวางช้อนเลยทีเดียว

ปกติเรามักจะเห็นแต่ลูกฟิกอบแห้งสีน้ำตาลวางขายตามซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำในประเทศไทย ลูกฟิกนั้นเราสามารถกินได้ทั้งลูก แต่ที่ฝรั่งเศสนี้ มีลูกฟิกสดขายตลอดปี ซึ่งวิธีการกินลูกฟิกสดคือ เมื่อหั่นครึ่งเสร็จแล้ว ก็ใช้ช้อนเล็กคว้านเนื้อสีแดงๆออกมากิน เนื้อมันจะปนด้วยเม็ดเล็กๆเต็มไปหมด เม็ดเหล่านั้นกินได้ ตอนเคี้ยวจะรู้สึกกรุบๆ ให้กินแต่เนื้อ อย่ากินเปลือก

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 30

ไวน์ใหม่ๆ
ช่วงเดือนกันยายนของทุกปี เป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวองุ่นทั่วฝรั่งเศส นักเรียนและนักศึกษามักจะชวนกันไปรับจ้างเก็บองุ่น เพื่อหาเงินค่าขนมก่อนเปิดเทอม

องุ่นที่เก็บมาแล้วนั้น จะถูกแบ่งหมักออกเป็น 2 แบบ คือ หมักนานเป็นปีด้วยแอลกอฮอล์จนกลายเป็นไวน์ หรือหมักไม่นานนักและใส่แอลกอฮอล์เล็กน้อย จนคล้ายเป็น Sparkilng water รสองุ่นดังเช่นในภาพ

คนฝรั่งเศสเรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า " vin nouveau " ( แวง นูโว ) แปลว่า " ไวน์ใหม่ " ไวน์ใหม่นี้หาซื้อได้แค่ช่วงเดือนกันยายนนี้เท่านั้น และขายดีมาก วางเท่าไหร่ก็หมดตลอด ผู้คนแห่กันไปซื้อมาตุนไว้ เพราะทำมาจากองุ่นสดใหม่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยว

ตามซุปเปอร์มาเก็ตจะจัดโปรโมชั่นพิเศษหรือตั้งเป็นซุ้มขายไวน์เฉพาะกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตได้นำไวน์ของตนที่ได้รับรางวัลเหรียญทองหรือเหรียญเงินมาวางจำหน่าย ดังนั้น ในช่วงเดือนกันยายน นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนฝรั่งเศสที่ได้เลือกซื้อไวน์คุณภาพดี

ปัจจุบันนี้ การจัดโปรโมชั่นไวน์กลายเป็นแฟชั่นที่ทุกซุปเปอร์มาเก็ตแข่งกันจัด เพื่อดึงลูกค้าให้มาซื้อไวน์ที่ซุปเปอร์ของตน

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 29

วิก กับสังคมฝรั่งเศส
เรามักเห็นภาพคนฝรั่งเศสโบราณใส่วิกผมสีขาวและมีลักษณะม้วนเป็นหลอดๆ แฟชั่นนี้เริ่มต้นขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1700 จนถึงช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1789 หลังจากนั้น แฟชั่นนี้ก็ค่อยๆหายไป

คนที่ใส่วิกจะต้องเป็นชนชั้นสูงในสังคมเท่านั้น เพราะเขาคิดว่าใส่วิกแล้วสวยงาม และอีกเหตุผลหนึ่งคือ สมัยก่อน คนไม่มีสุขอนามัย ไม่ได้อาบน้ำบ่อย ไม่มีแชมพูสระผม ทำให้เป็นเหาได้ง่าย และเมื่อเป็นเหาแล้วก็ไม่มีน้ำยาฆ่าเหา ทางแก้ปัญหาเดียวสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คือ ต้องโกนผมออกทั้งหมด และใส่วิกแทน เมื่อจะนอนตอนกลางคืนค่อยถอดวิกออก

ส่วนชาวบ้านธรรมดาไม่มีวิกใส่ หากเป็นเหา ก็ต้องโกนหัวโล้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมสมัยนั้น

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 28

การนั่งรถไฟ
สำหรับการท่องเที่ยวภายในฝรั่งเศส ผู้คนจะนิยมนั่งรถไฟไปต่างเมือง เพราะการคมนาคมโดยรถไฟถือเป็นเส้นทางหลักของประเทศ และสถานีรถไฟมักจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำให้เดินเที่ยวต่อได้ง่าย

หากเราซื้อตั๋วล่วงหน้า ราคาก็จะถูก หากซื้อตั๋วในเวลากระชั้นชิดกับการเดินทาง ราคาก็จะแพง

ก่อนขึ้นรถไฟ อย่าลืมตอกตั๋ว !!!
เครื่องตอกตั๋วสีเหลืองนี้ จะติดตั้งอยู่บริเวณทางเดินไปชานชาลา เราใส่ตั๋วด้านใดก็ได้เข้าไปในเครื่อง เครื่องจะตอกเวลาและชื่อสถานีที่เราขึ้นรถไฟลงบนตั๋ว

หากเราไม่ได้ตอกตั๋ว ถือเป็นความผิดอย่างหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจตั๋วตามที่นั่งบนรถไฟ เราจะต้องเสียค่าปรับ

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 27

คริสต์มาส
วันนี้คือวันคริสต์มาส คนฝรั่งเศส " ทุกคน " ต่างกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็ตาม แต่การฉลองกันภายในครอบครัวกลายเป็นประเพณีแห่งชาติไปแล้ว

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด เขาจะไปประกอบมิสซาที่โบสถ์ในคืนวันที่ 24 เพราะพระเยซูเจ้าเกิดตอนเที่ยงคืน คริสตศาสนิกชนจึงต้องไปโบสถ์ หรือไม่ก็เป็นวันที่ 25 ตอนเช้า เพื่อฉลองการเกิดของพระเยซูเจ้า

ส่วนในวันที่ 25 คนฝรั่งเศสทุกผู้ทุกคนต่าง " ต้อง " กลับไปทานข้าวกับครอบครัวตนเองในมื้อกลางวันหรือเย็น ไม่ว่าเขาจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็ต้องกลับบ้าน นั่นหมายความว่า วันคริสมาสต์เป็นวันรวมญาติ รวมสมาชิกทุกคนประจำปี ไม่มาไม่ได้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวหากขาดสมาชิกคนใดคนหนึ่งไป

พอทุกคนมาถึงบ้าน เขาจะรวมตัวกันหน้าเตาผิง เจ้าบ้านมักจะจัดต้นคริสต์มาสไว้ใกล้ๆ มีกล่องของขวัญมากมายวางอยู่ใต้ต้นคริสมาสต์ เขาเริ่มการแจกของขวัญโดยการให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัวเป็นคนหยิบของขวัญและยื่นให้ทุกคน หรือบางครอบครัวก็ให้ผู้ใหญ่เป็นคนแจก แต่ว่าจะต้องยื่นให้เด็กที่มีอายุน้อยที่สุดก่อน คือเป็นการแจกโดยเรียงตามอายุ

เมื่อแจกและแกะของขวัญกันเสร็จแล้ว เขาจะทำอาหารทานกันในบ้าน ไม่ค่อยนิยมไปที่ร้านอาหาร เพราะสมาชิกเยอะ ไปตามร้านก็จะแพง อีกทั้ง เขายังถือว่าทานที่บ้านได้บรรยากาศอบอุ่นกว่า ดังนั้น มื้ออาหารวันคริสมาสต์จึงคึกคักไปด้วยสมาชิกทุกเพศทุกวัย

ตามบ้านเรือนก็จะประดับบ้านและตกแต่งโต๊ะอาหารอย่างสวยงามอลังการเพราะเป็นเทศกาลสุดพิเศษ เริ่มต้นด้วยการยืนดื่มแชมเปญ จากนั้นก็เชิญแขกทั้งหมดนั่งประจำที่ และทานอาหารมื้อใหญ่ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้แก่ อาหารจานแรก อาหารจานหลัก สลัด เนยแข็ง ขนมหวาน และปิดท้ายด้วยชาหรือกาแฟ เราจึงจะลุกออกจากโต๊ะอาหารได้

หากเราฟังแค่ภาพรวม เราก็จะจินตนาการได้ถึงความอบอุ่น ความสนุกสนาน และความรื่นเริง ในบ้านนั้นมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กลิ่นอาหาร แสงไฟเหลืองนวลจากเทียน ไออุ่นจากเตาผิง มองไปทางไหนก็มีแต่สมาชิกในครอบครัวพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิต แต่ในทางกลับกัน เทศกาลคริสต์มาสในฝรั่งเศสไม่ได้มอบแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว วันคริสต์มาสถือเป็นช่วงเวลาแห่ง " ความเศร้า " สำหรับคนฝรั่งเศสที่ไม่มีครอบครัว

กล่าวคือ คนฝรั่งเศสสูงอายุที่โสด ไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งแล้วแต่อีกฝ่ายเสียชีวิตไปก่อน และ/หรือไม่มีลูก ตามปกติแล้วเขาสามารถดำเนินชีวิตคนเดียวได้ แต่พอถึงกลางเดือนธันวาคม เมื่อคริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว เขาเริ่มไม่มีความสุข เพราะเขารู้ว่าวันที่ 25 เขาจะต้องอยู่คนเดียว และมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่มีใครอยากอยู่ในบ้านหรืออพาร์ตเม้นเพียงลำพังในวันคริสต์มาส ในขณะที่บ้านข้างๆฉลองกันในครอบครัวอย่างมีความสุข ดังนั้น หากเขายังมีแรงเดินทางได้ เขาก็จะเลือกเดินทางออกนอกประเทศ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ฝรั่งเศส เพราะเขาไม่มีครอบครัว ดังนั้นเขาจึงต้องการหลีกหนีช่วงเวลานี้

ส่วนคนสูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชรา ตามสถานที่นั้นๆจะมีการจัดงานคริสต์มาสให้ และเชิญให้ญาติหรือลูกหลานของผู้สูงอายุมาร่วมด้วยได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกหลานมักไม่มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงค่อนข้างเงียบเหงา

บทความนี้สะท้อนสภาพสังคมฝรั่งเศสในช่วงคริสต์มาสได้ว่า ภายนอกอาจดูหรูหรา สวยงาม สนุกสนาน แต่อีกด้านหนึ่งนั้น กลับสร้างความทุกข์ ความเหงา และความเหว่ว้าให้แก่คนที่ไม่มีครอบครัวได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

เล่าเรื่องเมืองฝรั่งเศส ตอนที่ 26

บุหรี่ ยาสูบ
คนฝรั่งเศสสูบบุหรี่กันเยอะมาก จากสถิติล่าสุดเดือนพฤศจิกายนปี 2013 พบว่ามีผู้สูบบุหรี่มากถึง 14 ล้านคนต่อปี และค่าเฉลี่ยอายุของกลุ่มคนที่สูบบุหรี่มากที่สุด คือ อายุระหว่าง 18-34 ปี

บุหรี่ที่ขายในฝรั่งเศสมีราคาแพงกว่าบ้านเราหลายเท่า ยี่ห้อธรรมดาราคาประมาณ 300 บาท/ซอง หากเป็นผู้ใหญ่หรือคนทำงานที่มีรายได้มั่นคง เขาก็มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ่ายได้ แต่สำหรับนักเรียนหรือวัยรุ่น การซื้อบุหรี่ก็ค่อนข้างสร้างปัญหาทางการเงินแก่พวกเขาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีอื่นที่จะได้สูบบุหรี่เหมือนกันแต่ราคาย่อมเยาว์กว่า ทางออกนั้นคือ การซื้อ " ยาสูบ " มาห่อเองให้เป็นบุหรี่

อุปกรณ์ที่ใช้ในการห่อยาสูบมีทั้งหมด 3 อย่างดังในภาพที่ 1 ได้แก่ ห่อสีขาว-ดำคือแผ่นกระดาษไข ห่อสีขาว-เขียวคือใบยาสูบ และห่อสีฟ้า-ขาวคือก้านแข็งสีขาวใช้เป็นที่สูบ

ภาพที่ 2 คือวิธีการห่อ เรานำใบยาสูบวางเป็นแนวยาวบนกระดาษไข

ภาพที่ 3 คือ วิธีการที่ยากที่สุด เราต้องค่อยๆบิดยาสูบให้ม้วนเรียงตัวจนกลายเป็นแท่งบุหรี่ให้ได้ ใบยาสูบนั้นค่อนข้างลื่น ไม่ได้ห่อกันง่ายๆ ดังนั้นคนสูบจึงต้องใจเย็นๆ และใช้เวลานิดหนึ่งในการห่อ และห้ามลืมสอดก้านสีขาวที่ด้านท้ายด้วย เพราะเราต้องสูบจากด้านที่มีก้านนี้

เมื่อเราม้วนจนเป็นแท่งแล้ว เราก็ใช้เลียขอบกระดาษด้วยน้ำลายเพื่อให้มันเหนียวๆ จะได้พับลงมาได้ เป็นลักษณะเดียวกับการเลียปิดซองจดหมาย

ภาพที่ 4 คือ แท่งยาสูบที่เสร็จสมบูรณ์ เพียงจุดไฟที่ปลายแท่งก็สูบได้เลย

ราคาอุปกรณ์ทั้ง 3 อย่างรวมแล้วประมาณ 400 บาท แต่ใช้ได้นานกว่าบุหรี่สำเร็จรูปแบบซอง ดังนั้นเราจะเห็นเหล่าวัยรุ่นยืนม้วนยาสูบกันตามถนนหนทางเป็นเรื่องปกติ บางคนก็นั่งม้วนในห้องเรียน บางคนก็นั่งม้วนในรถไฟหรือรถเมล์ บางคนก็นั่งม้วนในร้านอาหารเพราะมันต้องใช้เวลาและความประณีต พอออกไปนอกอาคารแล้วจะได้ยืนสูบเลย

เนสขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตนเองที่เจอมา คือ ผู้หญิงไทยมักจะหน้ามัน เราจึงต้องใช้ " กระดาษซับมัน " อยู่ตลอด ครั้งหนึ่งเนสเข้าห้องน้ำ และหยิบกระดาษซับมันออกมาเพื่อจะซับหน้า เพื่อนฝรั่งก็มองอย่างสงสัยและถามว่า " เธอจะห่อยาสูบหรือ? " เนสจึงต้องอธิบายว่ามันคือกระดาษซับมัน ไม่ใช่กระดาษไขเพื่อห่อยาสูบ ผู้หญิงฝรั่งเขาหน้าไม่มันเหมือนเรา ในห้างหรือในซุปเปอร์จึงไม่มีกระดาษซับมันขาย เขาจึงไม่รู้จัก " กระดาษซับมัน "